สวัสดี มีที่มาอย่างไร ทำไมต้องสวัสดี?

“สวัสดี” ใช้ได้ทั้งการทักทาย อวยพรในคราวเดียวกัน คนดังระดับโลกหลายคนก็เริ่มใช้สวัสดี อย่าง Tim Cook สวัสดี ในงาน WWDC2020 หรือแม้แต่ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ใช้สวัสดีแบบไทย ในสถาณการณ์การระบาดของโรคโควิด การเว้นระยะห่างมีความสำคัญ การทักทายปลอดภัยจากโรคระบาด ด้วยการไหว้สวัสดีของคนไทย! จึงทวีความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ
เราจะสวัสดีทักทายเมื่อพบเจอกันครั้งแรก หรือใช้ตอนที่บอกลากันเสมอ ๆ และที่ฮิตมากคือการสวัสดีตอนเช้า ‘สวัสดีวันจันทร์’ ทำไมผู้ใหญ่เขาถึงได้ชอบส่งหากันนะ ? ถือเป็นเรื่องมงคลที่ผู้ใหญ่จะส่ง สวัสดีตอนเช้า หากันทุกเช้า จนฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง ที่สำคัญที่มาคู่กันคือสีประจำวัน ต้องมาเป็นเซ็ต สีแต่ละวันล้วนมีความหมายอันเป็นมงคล สวัสดีทุกวัน ความเป็นมาของสีประจำวัน ที่คนไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
การทักทายยังช่วยเพิ่มเสน่ห์ในตัวคุณ แต่เคยสงสัยไหมว่า ทำไมถึงต้องสวัสดี ทำไมถึงพูดคำนี้? แล้วคำนี้มีความหมายว่าอย่างไร และใครเป็นคนบัญญัติให้คนไทยต้องใช้คำว่า สวัสดี เป็นคำทักทาย วันนี้ได้จะได้รู้คำตอบกัน
เมื่อเรากล่าวคำว่าสวัสดี คนไทยเรายังยกมือขึ้นประนมไหว้ตรงอก มือทั้งสองจะประสานกันเป็นรูปดอกบัวตูม เหมือนสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายถึงสิ่งสูงค่าที่เป็นมงคล เพราะชาวไทยใช้ดอกบัวในการสักการะผู้ใหญ่ บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนการวางมือไว้ตรงระดับหัวใจนั้น เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกให้เห็นว่า การทักทายนั้นมาจากใจของผู้ไหว้
ดังนั้น เมื่อกล่าวคำว่าสวัสดีพร้อมกับการยกมือขึ้นประนม จึงแฝงให้เห็นถึงความมีจิตใจที่งดงามของคนไทย ที่หวังให้ผู้อื่นพบเจอแต่ในสิ่งที่ดี ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ ถือเป็นมงคลต่อทั้งตัวผู้พูดและผู้ฟัง และยังสามารถเพิ่มเสน่ห์ในตัวบุคคลได้อีกด้วย
นอกจากนี่แล้ว การใช้คำว่าสวัสดียังขึ้นอยู่กับสถานะของผู้พูดด้วย ถ้าพูดกับคนที่มีอายุมากกว่าหรือตำแหน่งสูงกว่าผู้ชายจะใช้คำว่าครับตามหลังคำว่าสวัสดี เป็นสวัสดีครับ ผู้หญิงจะใช้คำว่าค่ะตามหลัง เป็นคำว่าสวัสดีค่ะ แต่ถ้าผู้พูดมีอายุมากกว่าหรือเท่ากับผู้ฟังหรือมีตำแหน่งที่สูงกว่าผู้ฟังก็จะใช้เพียงคำว่าสวัสดี
“สวัสดี” คำนี้เป็นคำที่รัฐบาลไทยกำหนดเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2486 ให้ใช้เป็นคำทักทายเมื่อพบหรือจากลา หากย้อนไปเมื่อ 70 ปีที่แล้ว ผู้ที่ริเริ่มใช้คำนี้ก็คือ พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) โดยได้นำมาจากศัพท์ “โสตถิ” ในภาษาบาลี หรือ “สวสฺติ” ในภาษาสันสกฤต และได้เริ่มใช้ครั้งแรก ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะที่ท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่นั่น
ต่อมา ทางจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เห็นชอบให้ใช้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2486 เป็นต้นมา
สำหรับคำว่า “สวสฺติ” เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า “ขอความดีความงามจงมี (แก่ท่าน)” ซึ่งทางพระยาอุปกิตศิลปสาร ได้ปรับเสียงให้ง่ายต่อการออกเสียงของคนไทย จากคำสระเสียงสั้น เป็นสระเสียงยาว เป็นคำว่า “สวัสดี” ให้มีความไพเราะ และลื่นหูมากขึ้น และหลังจากนั้น คำว่า “สวัสดี” จึงใช้เป็นคำทักทายที่ไพเราะและสื่อความหมายดี ๆ ต่อกันของคนไทย
ส่วนคำทักทายอื่น ๆ ก็ถูกแปลงมาจากภาษาอังกฤษ ในสมัยของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เช่นกัน โดยกำหนดให้คนไทยทักกันในทุกช่วงเวลา…
ตอนเช้าทักทายว่า “อรุณสวัสดิ์” มาจากคำว่า “good morning”
ตอนบ่ายทักทายว่า “ทิวาสวัสดิ์” มาจากคำว่า “good afternoon”
ตอนเย็นทักทายว่า “สายัณห์สวัสดิ์” มาจากคำว่า “good evening”
ตอนกลางคืนทักทายว่า “ราตรีสวัสดิ์” มาจากคำว่า “good night”
แต่คำบางคำ ก็ไม่เป็นที่นิยมใช้สักเท่าไหร่ เหลือเพียงคำว่า สวัสดี, อรุณสวัสดิ์ และราตรีสวัสดิ์เท่านั้น
เช้านี้ คุณส่งสวัสดีตอนเช้า แล้วหรือยัง
สวัสดีวันจันทร์ | สวัสดีวันอังคาร | สวัสดีวันพุธ | สวัสดีวันพฤหัสบดี |
สวัสดีวันศุกร์ | สวัสดีวันเสาร์ | สวัสดีวันอาทิตย์